ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตมีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจและชีวิตประจำวัน ผู้คนส่วนมากใช้เว็บไซต์เป็นช่องทางในการค้นหาสินค้า หรือบริการต่างๆ ซึ่งแน่นอนหลายองค์กรต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการนำเสนอสินค้าและบริการของตัวเอง เพื่อมาตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามาก
ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตมีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจและชีวิตประจำวัน ผู้คนส่วนมากใช้เว็บไซต์เป็นช่องทางในการซื้อสินค้า หรือบริการต่างๆ ซึ่งแน่นอนหลายองค์กรต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการนำเสนอสินค้าและบริการของตัวเอง เพื่อมาตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากที่สุดและเมื่อไหร่ที่มีการเปลี่ยนแปลงย่อมมีปัญหาตามมาแน่นอนไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการดูแล การพัฒนาเว็บ โดนปัญหาที่พบมากที่สุดในการทำเว็บไซต์ คือ องค์กรไม่ได้ให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยกับเว็บไซต์เท่าที่ควร ซึ่งปัญหานี้เองที่เปิดโอกาส “แฮกเกอร์” สามารถเข้ามาโจมตีเว็บไซต์ขององค์กรได้ง่ายขึ้น เช่น การโจมตีเพื่อให้เว็บไซต์ล่ม การแฮกระบบเพื่อให้เข้าใช้งานไม่ได้ หรือต้องการเจาะเข้าถึงข้อมูลสำคัญขององค์กรที่ถูกเก็บไว้ภายในฐานข้อมูล ด้วยปัญหาทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า องค์กรควรให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเว็บไซต์เป็นอย่างยิ่ง เพราะช่องโหว่จุดเดียวบนเว็บไซต์ สามารถส่งผลเสียต่อธุรกิจมหาศาล
เพื่อลดความเสี่ยงนั้น จึงมีหน่วยงานที่รับผิดชอบกำกับดูแล (Regulators) หรือผู้กำหนดมาตรฐานสากลต่างๆ (Compliances) กำหนดองค์กรภายใต้การกำกับดูแล ใส่ใจต่อความเสี่ยงด้านเว็บไซต์ที่อาจจะเกิดขึ้นโดยควรทำการทดสอบเจาะระบบ เพื่อค้นหาช่องโหว่ และระบุถึงความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ตั้งแต่ระบบเครือข่ายตลอดจนรวมไปถึงเว็บไซต์ด้วย
ซึ่งกระบวนการที่นิยมใช้ในการหาช่องโหว่คือ Vulnerability Assessment และ Penetration Testing โดยทั้งสองกระบวนการใช้ในการระบุและประเมินช่องโหว่ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยมีเป้าหมาย วิธีการ และราคาที่แตกต่างกัน
ในการทำ Penetration Testing ทั่วไปจะเป็นการทดสอบเจาะระบบ โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญโจมตีเปรียบเสมือนเป็นแฮกเกอร์เจาะเข้าระบบต่างๆ เพื่อเข้าถึงข้อมูลของเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งสามารถทดสอบได้ทุกระบบที่ต้องการตามความสามารถของผู้ทดสอบ
ส่วน Web Penetration Testing หรือ Web Pentest เป็นการใช้ผู้เชี่ยวชาญในการทดสอบเจาะระบบเช่นกัน แต่จะมุ่งเน้นไปที่เว็บไซต์โดยเฉพาะ ช่วยระบุช่องโหว่และจุดอ่อนด้านความปลอดภัยของเว็บไซต์ ที่อาจจะเป็นเส้นทางการโจมตีของแฮกเกอร์ได้
บริการ X-Web Penetration Testing สามารถเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ให้กับองค์กรของคุณ ด้วยการนำ Intelligent Platform มาช่วยในการทดสอบทำให้สามารถย่นระยะเวลาในการทำงานให้รวดเร็วมากขึ้น และอยู่ในราคาที่จับต้องได้กว่าการทำ Web Penetration Testing ที่สำคัญทุกขั้นตอนของการทำ X-Web Penetration Testing อยู่ภายใต้มาตรฐานระดับสากล ไม่ว่าจะเป็น OWASP Top 10 for Web App ซึ่งควบคุมโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการเจาะระบบ(Pentester) ที่มี Certificated ทำให้ผลการทดสอบที่ได้รับมีความละเอียดเทียบเท่าการทำ Pentest ที่ครอบคลุมทุกช่องโหว่ พร้อมให้คำปรึกษา นำเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด อีกทั้งยังมีการเฝ้าระวังและติดตามช่องโหว่ใหม่อย่างต่อเนื่อง พร้อมแจ้งผู้รับบริการภายใน 24 ชั่วโมง ทำให้บริการนี้ไม่ใช่แค่การใช้โปรแกรมเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี และคนทำงานเข้าด้วยกัน
ในการทดสอบแต่ละครั้งจากเดิมที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเจาะระบบ หรือ Pentester ต้องลงมือทดสอบในแต่ละจุดของระบบด้วยตนเอง แต่ด้วยการใช้ Intelligent Platform ที่มีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กับ ระบบในการเรียนรู้ (Machine Learning) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรับรู้ถึงภัยคุกคามและช่องโหว่ที่ประกาศใหม่ พร้อมกับการวิเคราะห์ข้อมูลภัยคุกคามในเชิงลึก บวกกับฟังก์ชันการทำงานแบบอัตโนมัติ ส่งผลให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการเจาะระบบ(Pentester) ของเราใช้ข้อมูลจากตรงนี้เพื่อย่นระยะเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้มากขึ้น
สุดท้ายนี้ทาง INFNITY TO INFINITY หวังว่าทุกท่านที่อ่านมาจนถึงตรงนี้จะได้รับประโยชน์จากบทความนี้ไม่มากก็น้อย หากองค์กรเข้าใจว่าช่องโหว่ของเว็บไซต์คืออะไร และไม่ละเลยที่จะดูแลเว็บไซต์บริการ X-Web Penetration Testing สามารถช่วยให้องค์กรของคุณ เตรียมความพร้อมที่จะหลีกเลี่ยงการถูกโจมตี และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบรักษาความปลอดภัยของเว็บไซต์ได้ หากท่าน สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ sales@infinitythailand.io หรือ คลิกที่นี่
December 22, 2023